
|
วันที่ 14 สิงหาคม 2568 – สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดย
ดร.ชนะ ภูมี รองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ และประธานสถาบันฯ พร้อมคณะผู้บริหารจากหน่วยงานบริหารจัดการน้ำและภาคเอกชน ลงพื้นที่ศึกษาดูงานศูนย์ปฏิบัติการน้ำ (Water War Room) ภาคตะวันออก ณ สำนักงานชลประทานที่ 9 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เรียนรู้การจัดการน้ำแบบบูรณาการบนพื้นฐานข้อมูลจริงและความร่วมมือทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ ศูนย์ Water War Room ภาคตะวันออก เป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ที่ผนึกกำลังเพื่อเป้าหมายเดียวกันในการติดตามและคาดการณ์สถานการณ์น้ำ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการส่งน้ำผ่านเครือข่ายระบบส่งน้ำ เสนอแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา รวมถึงผลักดันโครงการด้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยง และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันเวลา จุดเด่นของโมเดลนี้คือ การสื่อสารและเปิดเผยข้อมูลร่วมกัน ทำให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงสถานการณ์ล่าสุด ลดความเข้าใจผิด และสร้างความเชื่อมั่นระหว่างหน่วยงาน พร้อมระบบประชุมและประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับแผนให้สอดคล้องกับสภาพจริง จากความสำเร็จในภาคตะวันออก สถาบันฯ เตรียมนำบทเรียนและแนวทางดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ที่มีความท้าทายด้านน้ำ เช่น จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งกำลังมีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น เพื่อร่วมกันวางแผน บริหารจัดการ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ให้เพียงพอ รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการของชุมชนได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
ด้านทาง ดร.ชนะ ภูมี กล่าวถึงความสำคัญของการทำงานนี้ว่า
“ศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก ไม่เพียงเป็นกลไกติดตามและตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำ แต่ยังเป็นเวทีความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ช่วยให้ทุกฝ่ายตัดสินใจได้แม่นยำ ลดผลกระทบ และสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว” การลงพื้นที่ครั้งนี้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นการทำงานจริง ตั้งแต่การตรวจวัดและรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์แนวโน้ม ไปจนถึงการกำหนดมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่ พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจให้กับพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องการนำโมเดลนี้ไปต่อยอด และถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการจัดการน้ำทั่วประเทศ และเป็นเครื่องยืนยันว่าการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัย “ข้อมูลจริง ความโปร่งใส และความร่วมมือ” เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมไทยในอนาคต เพื่อที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมองไปในทิศทางเดียวกัน เราจะเปลี่ยนวิกฤตน้ำให้กลายเป็นโอกาสในการพัฒนาสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว |